การวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร
การลงทุนในสินทรัพย์ เช่น หุ้น พันธบัตร สกุลเงินดิจิทัล ฟิวเจอร์ส ออปชั่น และ CFD มีความเสี่ยงสูง CFD มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ โดย 74-89% ของบัญชีรายย่อยเกิดการขาดทุนเนื่องจากเลเวอเรจที่สูงและความซับซ้อน สกุลเงินดิจิทัลและออปชันมีความผันผวนอย่างมาก ในขณะที่ฟิวเจอร์สก็สามารถทำให้เกิดการขาดทุนเป็นอย่างมากได้เช่นกัน แม้แต่หุ้นและพันธบัตรก็อาจมีมูลค่าที่ลดลงได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดตกต่ำ และหากบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ล้มก็จะทำให้เกิดการขาดทุนทั้งหมดได้ นอกจากนี้ ความมั่นคงของโบรกเกอร์ของคุณมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในกรณีที่บริษัทล้มละลาย การมีโครงการเงินชดเชยนักลงทุนที่มีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องทรัพย์สินของคุณ การลงทุนเหล่านี้ควรสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของคุณซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก และหากจำเป็น คุณควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อทำความเข้าใจตลาดการเงินที่มีความซับซ้อน
เราได้รับค่าคอมมิชชั่นจากพาร์ทเนอร์บางรายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้ (พาร์ทเนอร์ตามที่มีรายชื่ออยู่ในหน้า 'เกี่ยวกับเรา' ในส่วน 'พาร์ทเนอร์') ถึงแม้จะมีความเกี่ยวดังกล่าว แต่เนื้อหาของเรายังคงเป็นกลางและเป็นอิสระ เราสร้างรายได้ผ่านการโฆษณาแบนเนอร์และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการแสดงความเห็นของเราหรือความสมบูรณ์ของเนื้อหาของเรา ทีมบรรณาธิการและการตลาดของเราดำเนินงานอย่างเป็นอิสระเพื่อช่วยให้ข้อมูลทางการเงินของเรามีความถูกต้องและความเป็นกลาง
ข้อมูลได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยเจ้าหน้าที่และระบบของเรา
อัปเดตครั้งล่าสุด: 17/2/2564
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อกำหนดว่าจะซื้อหรือขายทรัพย์สินหนึ่ง ๆ หรือไม่ และที่ราคาเท่าไหร่
ซึ่งจะดำเนินการโดยตรงบนกราฟราคาของทรัพย์สิน โดยมีตัวชี้วัดทางเทคนิคเป็นตัวช่วย เช่น RSI หรือ MACD หรือด้วยเครื่องมืออย่าง เส้นแนวรับ/เส้นแนวต้าน (support/resistance) Fibonacci Retracement หรือด้วยเครื่องมือต่าง ๆ รวมกัน
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะบอกว่า “แนวโน้มเป็นเพื่อนของคุณ” และ “อย่าพยายามขึ้นขี่ม้าที่วิ่งสวนทางกับแนวโน้ม” คุณจะประสบความสำเร็จในการเทรดมากกว่าหากใช้แนวโน้มตลาดในช่วงเวลาที่ยาว และไม่ต้องทำอะไรกับตลาดที่มีทิศทางไม่แน่นอน
เมื่อนักวิเคราะห์ระบุแนวโน้มหนึ่ง ๆ ได้ ขั้นถัดไปคือพยายามทำนายว่าแนวโน้มนั้นจะไปไกลแค่ไหน หรือว่าแนวโน้มนั้นจะอ่อนแรงไป เพื่อประเมินว่าจะมีโอกาสในการเข้าซื้อขายหรือไม่ แนวคิดนี้ใช้เพื่อการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำที่สุดขณะที่อยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และขายในราคาที่สูงที่สุดขณะตลาดอยู่ในขาลง (Downtrend)
แนวโน้มตลาดจะมาจาก ราคาเคลื่อนไหวและราคาพักตัว (pulse and retracement) ในรูปร่างซิกแซก ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า ระดับแนวรับและแนวต้าน ระดับเส้นแนวรับคือราคาที่เทรดเดอร์ยินดีที่จะซื้อทรัพย์สินนั้น ๆ ขณะที่เส้นแนวต้านคือราคาที่เทรดเดอร์ยินดีที่จะขายทรัพย์สินออกไป ระดับที่เก่ากว่าจะมีพลังมากกว่าระดับใหม่ และเมื่อถึงระดับหนึ่ง ๆ แล้ว ระดับจะสามารถสลับกลับหัวได้เพื่อให้ระดับแนวรับเดิมกลายมาเป็นระดับแนวต้านใหม่ และระดับแนวต้านเดิมเป็นระดับแนวรับใหม่
การวิเคราะห์หลายกรอบเวลาคืออะไร
ควรตรวจสอบการวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลายกรอบเวลา ตั้งแต่กราฟรายเดือน (แต่ละแท่งเทียนคือระยะเวลา 1 เดือน) ไปจนถึง 1 ชั่วโมง กรอบเวลาที่นานกว่า เช่น รายสัปดาห์หรือรายเดือน จะสามารถยืนยันแนวโน้มหลักได้ดีกว่า ขณะที่กรอบเวลาที่สั้นกว่า เช่น รายวัน หรือทุก 4 ชั่วโมง จะช่วยให้บอกถึงโอกาสในการเข้าซื้อขายได้ดีที่สุด